วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ครีมรักษาฝ้า และครีมทาให้หน้าขาว

วารสารโรงพยาบาลวิชัยยุทธ เพื่อ...สุขภาพสตรีและเด็ก

กรกฎาคม-กันยายน 2554

บทความพิเศษ

โดย : นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
_________________________________________________________________________________________

   ปัญหาความงามที่สตรีไทยวิตกกังวลกันมากปัญหาหนึ่ง คงหนีไม่พ้นเรื่องใบหน้าเป็นฝ้า หรือใบหน้าหมองคล้ำ จึงขอเล่าถึงเรื่องครีมที่ใช้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ฟังนะครับ

ครีมรักษาฝ้า และครีมทาให้หน้าขาวที่ใช้กันแพร่หลาย ได้แก่

1. ไฮโดรควิโนน
   เป็นยาทาฝ้า ยาฟอกสีผิวให้ขาว ที่จัดอยู่ในกลุ่มยาลดการสร้างเม็ดสี เป็นยาที่ทำให้ผิวขาวที่ใช้บ่อยที่สุด การใช้ในสตรีมีครรภ์ยังไม่ยืนยันความปลอดภัย ยาอาจทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น ในไทยถือว่าไฮโดรควิโนนทุกระดับความเข้มข้นจัดเป็นยา ต้องให้แพทย์สั่งจ่าย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาจึงมียาทาฝ้าสูตรผสมโดยเพิ่มกรดวิตามินเอ และสเตียรอยด์ลงไป ก่อนใช้ยาอาจทดสอบโดยทาผิวที่ไม่มีรอยแตก หากเกิดอาการคัน, มีตุ่มน้ำใส และ/หรือ ผิวอักเสบแดง ไม่ควรใช้ยา ในการทายาต้องระวังไม่ให้สัมผัสนัยน์ตา การใช้ยาทาตัวนี้ให้ใช้เฉพาะใบหน้า, คอ, มือ, หรือ แขน ผลแทรกซ้อนของยาทาฝ้าตัวนี้คือ ทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัส, ปฎิกิริยาแพ้แสงแดด ที่อาจมีผื่นผิวหนังเป็นรอยดำหลังการอักเสบตามมา และที่พบได้ยากคือฝ้าถาวร ที่พบในคนดำที่ใช้ยาความเข้มข้นสูงทาต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน

2. กรดวิตามินเอ
   ออกฤทธิ์โดยการเปลี่ยนแปลงการเจริญเติบโตและการแบ่งเซลล์ผิวหนัง เร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนที่มีเม็ดสีเมลานินหลุดลอก การใช้ในสตรีมีครรภ์ยังไม่ยืนยันความปลอดภัย

3. กรดอาซิเลอิก
   เป็นยาฝ้ากลุ่มสารปฏิชีวนะ แรกเริ่มสังเคราะห์จากเชื้อยีสต์ การใช้ในสตรีมีครรภ์ทั่วไปจัดว่าน่าจะปลอดภัย

4. สเตียรอยด์อย่างเดียว
   ทำให้ฝ้าจางได้โดยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน แต่ถ้าใช้นานๆ ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น ผิวบาง, เส้นเลือดฝอยขยาย, เป็นสิว และขนใบหน้าดกขึ้น จึงไม่ควรใช้



ยาและเวชสำอางรักษาฝ้าและครีมทาให้ผิวขาวชนิดใหม่ๆ

   ปัจจุบันมีการคิดค้นยาและเวชสำอางรักษาฝ้าและทาให้ผิวขาวใหม่ๆ โดยหวังจะให้มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด เช่น กรดโคจิก, อาร์บูติน, วิตามินซีและอนุพันธ์, สารสกัดชะเอม, กรดผลไม้, สารสกัดจากปอสา, สารสกัดจากใบหม่อน, สารสกัดจากว่านหางจระเข้, สารสกัดจากใบโสม, สารสกัดจากใบแปะก๊วย, และสารสกัดสมุนไพรแก่นมะหาด ส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหารเสริมที่ใช้รักษาฝ้าเช่น สารสกัดเมล็ดองุ่น, สารสกัดเปลือกสน, สารสกัดทับทิม, และ tranxemic acid มีการกินยา tranxemic acid เพื่อให้ฝ้าจางลง ยาตัวนี้ออกฤทธิ์ทำให้บริเวณที่มีเลือดไหลหยุดเร็วขึ้น แต่ตัวยาสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ทำให้ฝ้าจางลง เนื่องจากต้องกินยาระยะยาวจึงต้องระวังผลข้างเคียงเช่น ภาวะหลอดเลือดหัวใจ, หรือหลอดเลือดดำอุดตัน

การทาครีมปกปิดรอยฝ้า หรือเพื่อทาให้หน้าขาว

   เป็นการใช้ครีม และ/หรือ แป้งเพื่อปกปิดความผิดปกติของสี หรือโครงรูปของใบหน้า หรือร่างกาย ใช้ทาปกปิดไฝและปานเช่น ปานดำที่ใบหน้า, ด่างขาว, แผลเป็น, รอยสัก และฝ้า ในแง่การรักษาฝ้าเนื่องจากสตรีเอเชียส่วนใหญ่นิยมมีผิวขาว จึงอาจใช้สารเคลือบคลุมผิวทา เนื่องจากเป็นสารที่ทำให้ทึบแสง มีสีขาว หรือขาวหม่นจึงทำให้ใบหน้าและผิวหนังแลดูขาวขึ้น ตัวอย่างของสารเคลือบคลุมผิวเช่น titanium dioxide, zinc oxide, talcum, kaolin, และ bismuth pigments สารพวกนี้ยังกันแสงแดดจึงมีส่วนป้องกันการเกิดฝ้าอีกด้วย นับว่าการทาครีมปกปิดรอยฝ้าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการแก้ปัญหาฝ้า และการทำให้ใบหน้าขาววิธีหนึ่ง

สุขศึกษาที่ผู้เป็นฝ้า และผู้ที่ต้องการมีผิวขาวควรทราบ

1. การหลีกเลี่ยงแสงแดดเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาฝ้า และการมีผิวขาว ดังสำนวนไทยเดิมที่ว่ามี “ผิวขาวเหมือนผลแตงร่มใบ” หากต้องออกโดนแดดจัดควรใช้ยากันแดดร่วมด้วยเสมอ

2. การทาครีมรักษาฝ้าให้ทาเฉพาะตรงที่เป็นฝ้าเท่านั้น ไม่ต้องทาทั่วหน้า แต่ถ้าทาให้หน้าขาวให้ทาบางๆ ทั่วหน้าก่อนนอน 3. การรักษาฝ้ากินเวลานาน ผู้ป่วยต้องเข้าใจว่าฝ้าจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษานาน

4. การรักษาฝ้าในสตรีมีครรภ์ มักแนะนำให้รอจนคลอดแล้วจึงรักษา เพราะฝ้าในสตรีมีครรภ์ดื้อต่อการรักษา เพราะมีปัจจัยจากฮอร์โมน นอกจากนั้นการรักษาอาจไม่จำเป็นเพราะส่วนใหญ่หลังคลอดฝ้าจะจางลงเอง และยารักษาฝ้าหลายตัวยังไม่ปลอดภัย หรือยังไม่ระบุความปลอดภัยหากใช้ระหว่างการตั้งครรภ์ หรือให้ นมบุตร

   ครีม และอาหารเสริมรักษาฝ้า และทำให้ผิวขาวที่กล่าวถึงนี้ หลายตัวอยู่ในขั้นตอนการวิจัย ผลการรักษายังสรุปจากกลุ่มผู้รับการรักษาจำนวนไม่มาก ส่วนใหญ่ยังต้องติดตามผลการรักษาต่อไป และน่าตั้งข้อสังเกตว่า ผิวสีแทนหรือผิวสีแบบคนไทยเรานั้น แท้ที่จริงเป็นสีผิวที่ชาวตะวันตกใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของ เพราะเป็นสีผิวที่แลดูว่ามีสุขภาพดีและมีเสน่ห์ อีกทั้งผู้ที่มีผิวสีแทนจะเหี่ยวแก่ช้ากว่าผู้ที่มีผิวขาวจัดนะครับ.......

____________________________________________________________________________________________