วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บอดี้โมดิฟาย แฟชั่นสุดเจ็บ..เจ็บ..เจ็บ..เจ็บ !!!!

นานาสาระ ต่วย’ตูน



บอดี้โมดิฟาย แฟชั่นสุดเจ็บ..เจ็บ..เจ็บ..เจ็บ !!!!

นพ. ประวิตร พิศาลบุตร


           เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวฮือฮาเรื่องการตัดอัณฑะทิ้ง วันนี้จึงขอเล่าเรื่องบอดี้โมดิฟาย หรือ body modification ซึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของมนุษย์อย่างถาวรหรือกึ่งถาวรโดยไม่มีเหตุผลทางการแพทย์
                ส่วนใหญ่คนทำบอดี้โมดิฟายเพื่อเพิ่มการแสดงความเป็นตัวของตัวเอง, เพิ่มความดึงดูดทางเพศ,เพื่อความสวยงาม,แสดงความเป็นหมู่คณะ, แสดงความเชื่อความศรัทธาในลัทธิหรือศาสนา หรือเพื่อทำให้คนที่เห็นเกิดความอึ้งทึ่งเสียว แต่ก็พบบ่อยว่าคนที่ทำบอดี้โมดิฟายหลายรายมีอาการป่วยทางจิต บอดี้โมดิฟายมีได้ตั้งแต่ที่เป็นที่ยอมรับกันได้ทั่วไป เช่น เจาะหู, ขลิบหนังหุ้มปลาย ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างที่แปลก ๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ การตัดอัณฑะทิ้งก็จัดเป็นบอดี้โมดิฟายอย่างหนึ่งครับ ตัวอย่างของบอดี้โมดิฟายที่รู้จักกันทั่วไป เช่น การสัก, การเจาะ, การกรีดผิวหนัง และการผ่าลิ้น ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในวัยรุ่นและผู้ใหญ่บางกลุ่ม แฟชั่นเหล่านี้อาจมีอันตรายได้ ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง คือ โรคโลหิตออกไม่หยุดที่เรียกว่า ฮีโมฟีเลีย, โรคลิ้นหัวใจพิการ, โรคผิวหนังแพ้และพุพอง, ผู้ที่มีประวัติแพ้เครื่องประดับ คือแพ้โลหะนิกเกิล หรือผู้ที่เกิดแผลเป็นนูนโตที่เรียกว่าคีลอยด์ง่าย ควรงดเว้นการทำตามแฟชั่นเหล่านี้ เพราะเสี่ยงต่อผลแทรกซ้อนสูง

       นอกจากนั้น หากใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาด อาจเกิดการติดเชื้อโรคได้ เช่น เชื้อแบคทีเรียทำให้เป็นฝีหนอง, โรคบาดทะยัก, ไวรัสตับอักเสบ, วัณโรคผิวหนัง, ซิฟิลิส แม้กระทั่งโรคเอดส์ได้ เริ่มีรายงานทางการแพทย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2493 ว่าการสักทำให้เป็นโรคตับอักเสบได้ ในพ.ศ. 2516 วารสารการแพทย์ของอังกฤษ (British Medical Journal) รายงานผู้ป่วยที่ถึงแก่กรรมจากโรคตับอักเสบจากการสัก เป็นผู้ป่วยชายอายุ 22 ปี ที่เป็นดีซ่านหลังไปสักมาประมาณ 1 เดือน และถึงแก่กรรม 3 เดือนหลังสัก ตรวจศพพบการติดเชื้อฝีหนองแพร่กระจายในกระแสเลือด, ไวรัสตับอักเสบ และเนื้อตับเน่าตาย พบว่าเข็มที่เผาไฟจนแดงซึ่งเป็นอุปกรณ์ใช้สักหรือเจาะ ก็ฆ่าเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสตับอักเสบไม่ได้หมด

          ขณะนี้พบคนไทยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบสูงมาก ทำให้พบอัตราตายจากมะเร็งตับสูงตามไปด้วย ดังนั้นการสักที่ไม่สะอาดในระยะยาวอาจนำไปสู่การเกิดมะเร็งตับได้เช่นกัน การเจาะนั้นนิยมทำที่ใบหู, จมูก, ปาก, ใบหน้า รวมไปถึงสะดือ เคยมีรายงานว่า วัยรุ่นที่นิยมไปเจาะจมูก ทำให้เชื้อแบคทีเรียจากช่องจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่สกปรกมากลอยไปติดที่ลิ้นหัวใจ ทำให้หัวใจอักเสบ หากมีก้อนเลือด ก็อาจจะทำให้ก้อนเลือดและเชื้อโรคไปอุดตันเส้นเลือดในสมอง ทำให้เกิดฝีในสมอง มีอาการแขนขาอ่อนแรง
         
         การสักการเจาะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ทำกันมามาตั้งแต่ 4,000 ปีที่แล้ว แต่เป็นเรื่องของความเชื่อของแต่ละชุมชน ที่น่าเป็นห่วงคือปัจจุบันที่เราสักเจาะเพื่อแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่ามันจะเริ่มเสื่อม หรือคนที่สักและเจาะเองอาจจะรู้สึกเบื่อ หรือเมื่อต้องการสมัครงานก็จะหันมาลบรอยสักและเย็บปิดรอยเจาะ ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวทำได้ยาก เสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการสักเจาะหลายเท่าตัว ในกรณีของการสักนั้น อาจใช้รูปลอกติดแทนก็ได้ ซึ่งอาจอยู่ได้นานถึง 7 วัน หรือใช้การเพ้นท์สีแทนการสัก เช่น การใช้ เฮนนา ส่วนในกรณีการเจาะ อาจใช้ตุ้มหูวงแหวนชนิดหนีบ หรือตุ้มหูแม่เหล็กแทนก็ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการเจาะหู ต้องแน่ใจในความสะอาดของเครื่องมือ ถ้าใช้ตุ้มหูที่ทำด้วยเงินสเตอร์ลิง หรือ สแตนเลส สตีล จะลดอาการแพ้ลงได้ ตุ้มหูโลหะทั่วไป, ทองขาว และเงินเยอรมนี มีส่วนผสมของนิกเกิล ซึ่งทำให้แพ้ได้

       ในระยะนี้เริ่มมีกระแสข่าวเข้ามาว่าวัยรุ่นมีวิธีการตกแต่งร่างกายแบบใหม่ที่เพิ่มมาจากการสัก การเจาะหู เจาะจมูก เจาะสะดือ ก็คือ การกรีดผิวหนังให้เป็นรอยแผลเป็น ซึ่งวัยรุ่นตะวันตกและวัยรุ่นไทยบางคนเริ่มทำตามกระแสนี้บางแล้ว

        การกรีดผิวหนังให้เป็นรอยแผลเป็น (scarification) ความหมายแต่ดั้งเดิมคือการใช้เข็มเล็กๆ จิ้มผิวหนังซ้ำกันหลายๆ ครั้ง เช่น ที่ใช้ในการปลูกฝี แต่ขณะนี้วัยรุ่นกลับนำมาใช้เพื่อให้ผิวหนังเกิดแผลเป็นตามรูปร่างที่กำหนด ซึ่งจัดเป็นการเสริมความงามอย่างหนึ่ง เทคนิคเสริมสวยโดยทำให้เกิดแผลที่ผิวหนังมีหลายแบบ เช่น การใช้ความร้อน เช่นเหล็กเผาแดงนาบผิวหนังเรียกว่า การตีตรา เทคนิคนี้เดิมใช้กับสัตว์เลี้ยงที่เป็นฝูงใหญ่ เช่น วัว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ ปัจจุบันอาจใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ทำให้เป็นแผลได้ อีกเทคนิคคือการใช้มีดผ่าตัดกรีดผิวหนัง เรียกว่า การกรีด โดยกรีดลึกลงไป 1/6 นิ้ว คือลึกถึงชั้นหนังแท้ เวลาหลายจะได้เกิดแผลเป็นตามรอยกรีด ระยะหนึ่งพบผู้ติดยาที่มีรอยกรีดตนเองที่ท้องแขนได้บ่อย ที่รุนแรงกว่านี้คือการแล่ผิวหนังออกมาเป็นชิ้นๆ นอกจากนั้นก็มีการทำให้เกิดแผลเป็นโดยใช้น้ำกรดหรือด่างกัดผิวหนัง ใช้หัวเจียระไนเพชรหรือหัวสลักแก้วขัดผิวหนัง

          เทคนิคเหล่านี้เริ่มแรกนิยมในกลุ่มผู้ที่ชอบทำให้ผู้อื่นเจ็บป่วยและผู้ที่ชอบถูกทำให้เจ็บปวดและในคนป่าบางเผ่า นอกจากนั้นก็มีผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตมักชอบสร้างแผลตามผิวหนังให้ตนเอง เรียกว่า โรคผิวหนังที่สร้างเอง ซึ่งจะมีแผลแปลกๆ ตามผิวหนังไม่เหมือนกับที่เกิดตามธรรมชาติ ปัจจุบันมีการนำเทคนิคนี้มาใช้ตามร้านเสริมสวย ในอเมริกาบางรัฐถือว่าผิดกฎหมายแต่บางรัฐก็ยังไม่ห้าม แต่ถ้าใช้เครื่องมือแพทย์ เช่นการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์ เพื่อทำให้เป็นแผลโดยผู้ทำให้ไม่ได้เป็นแพทย์จะถือว่าผิดกฎหมาย แต่ทั่วไปถ้าให้แพทย์ทำ แพทย์ก็จะไม่ทำให้เพราะไม่จำเป็นและอาจเกิดผลเสีย

          การทำให้เกิดแผลเป็นบางตำแหน่ง เช่น ที่กลางหน้าอกและหลัง แผลมักปูดโปนผิดปกติ ทำให้เป็นคีลอยด์ บางคนเป็นสิวเม็ดเดียวที่หน้าอกไปบีบแกะ ก็ยังเกิดคีลอยด์ก้อนโตขนาดผลมะนาวจนถึงผลส้มตามมาได้ การทำให้เกิดแผลนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นดังที่คิด แม้ผู้ที่ทำให้จะมีประสบการณ์เพียงใดเพราะถึงผู้ทำคนเดียวกัน กรีดแผลแบบเดียวกัน แต่รอยแผลเป็นในแต่ละคนจะต่างกัน และการแก้ไขรอยแผลเป็นก็ยากมาก เช่น ใช้การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในแผล, การฉายรังสี,การจี้ด้วยความเย็นจัด และ การใช้แผ่นเจลปิด อย่างไรก็ดีแผลก็หายไม่สนิทซึ่งอาจมีผลกระทบตามมาในภายหลัง

         นอกจากการทำให้เกิดแผลเป็นแล้ว ขณะนี้มีกระแสแฟชั่นในวัยรุ่นต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา คือ การผ่าลิ้นสองแฉก (tongue bifurcation หรือ tongue splitting)

โดยการผ่าจากปลายลิ้นไปทางโคนลิ้น ซึ่งนอกจากทำให้ดูแปลกแล้ว ยังเชื่อว่าช่วยเพิ่มรสชาติในการจูบ และบางคนสามารถกระดกลิ้นทั้งสองแฉกนี้ไปคนละทางกันก็ได้ การผ่าลิ้นเช่นนี้ถือว่าผิดกฎหมายในบางรัฐของอเมริกา และห้ามทหารทำ นอกจากนั้นศัลยแพทย์ก็ไม่รับทำ จึงต้องแอบทำกันเอง ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อแทรกซ้อน และบางรายที่ฉีดยาชากันเอง ก็อาจแพ้ยาชาถึงเสียชีวิตได้



           บอดี้โมดิฟายอย่างอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ยังมีบอดี้โมดิฟายอีกหลายอย่าง บางอย่างก็ฟังดูโอเค แต่หลายอย่างก็ฟังแล้วทะแม่งๆนะครับ ตัวอย่างของบอดี้โมดิฟายอื่นๆ เรียงตามลำดับตัวอักษรอังกฤษ คือ anal stretching -ขยายรูทวารหนัก, breast implants –ผ่าตัดเสริมเต้านมด้วยถุงซิลิโคน, breast ironing - พันรัดเต้านมหรือนาบด้วยของร้อน ทำในเด็กหญิงก่อนวัยรุ่นเพื่อไม่ให้เต้านมโต, eyeball tattooing - สัก หรือ ฉีดสีเข้าลูกตา, ear piercing – เจาะหู นับว่าเป็นบอดี้โมดิฟายที่ทำกันบ่อยที่สุดและน่าจะเป็นที่ยอมรับได้ที่สุด, ear shaping – ตัดหูให้แหลม
extraocular implant (eyeball jewelry) – ฝังเพชรในลูกตา,
female genital cutting – การตัดคลิตอริส หรือตัดแคมเล็ก, frenectomy คือตัดเส้นสองสลึงหรือตัดเส้นใต้ลิ้น, genital beading หรือเรียกอีกอย่างว่า pearling คือการฝังมุกอวัยวะเพศชาย อันนี้คนไทยนับเป็นผู้เชี่ยวชาญ, genital bisection – ตัดปลายอวัยวะเพศชายเป็นสองแฉก, male circumcision – ขลิบหนังหุ้มปลาย, nipple removal - ตัดหัวนมทิ้ง, nipple splitting - ผ่าหัวนมเป็นสองแฉก, nullification คือตัดอวัยวะบางส่วนทิ้ง เช่น ตัดนิ้ว, ตัดคลิตอริส,ตัดอัณฑะ,ตัดอวัยวะเพศชายทิ้ง กลุ่มนี้ออกแนววิปริตแล้วครับ, silicone injection คือการฉีดซิลิโคน อันนี้หนุ่มไทยหลายคนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปฉีดเจ้าโลกด้วยซิลิโคน ผลออกมาคือเน่าเฟะใช้งานไม่ได้แทนครับ, subdermal implant คือฝังวัตถุใต้ผิวหนัง เช่น ฝังเขาเพราะอยากเป็นควาย, subincision –ผ่าแยกอวัยวะเพศชายด้านล่างเป็นสองซีก, tooth filing คือตะไบฟัน

trepanation คือเจาะรูที่กะโหลก, tightlacing – มัดเอวมัดอกให้แฟบ, cranial binding – มัดกะโหลกเด็กตั้งแต่เป็นทารก, infant foot binding – มัดเท้า สมัยก่อนทำกันมากในจีน, elongation of organs - ใส่ห่วงให้คอยาว อันนี้หลายคนคงเคยไปเยี่ยมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาวมาแล้วนะครับ, stretched lip piercings หรือ lip plate – ใส่จานในริมฝีปาก

          แฟชั่นเหล่านี้เป็นเพียงกระแสนิยม มาแล้วก็จากไป พบเสมอว่าผู้ที่ไปสัก เจาะ กรีด ผ่า ไม่นานก็เบื่อรูปรอยเหล่านั้น จะลบออกก็เสียค่าใช้จ่ายสูงและทำได้ยากมาก และก็มักลบออกไม่หมด ที่ทำงานหลายแห่งก็ไม่ต้อนรับคนที่มีรอยเหล่านี้ บางคนจะไปสมัครเป็นทหารก็ต้องมาลบรอยสักและเย็บปิดรอยเจาะหู แม้แต่ที่อาบน้ำสาธารณะหลายแห่งในญี่ปุ่นก็ไม่ให้คนมีรอยสักรอยเจาะใช้บริการ ในฐานะหมอผิวหนังขอฝากว่า ผิวที่สะอาดเกลี้ยงเกลาตามธรรมชาติ เป็นผิวที่สวยที่สุดอยู่แล้วครับ นอกจากนั้น การทำบอดี้โมดิฟายที่ดูแปลกๆหลายครั้งเป็นอาการแสดงของความเจ็บป่วยทางจิต ที่เรียกว่า Body dysmorphic disorder ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้จะเฝ้ากังวลในรูปลักษณ์ของตนเองจนไม่เป็นอันทำงานทำการ ประมาณกันว่าร้อยละ 1-2 ของประชากรทั่วโลกเจ็บป่วยทางจิตด้วยโรคนี้ แม้กระทั่งการผ่าตัดเสริมเต้านมที่นิยมทำกัน ก็ยังเป็นบอดี้โมดิฟายที่ต้องจับตามอง เพราะอาจก่ออาการแทรกซ้อนเช่นเจ็บเต้านม,เต้านมแข็ง, และหัวนมชา องค์การอาหารและยา(FDA) ของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ทำการผ่าตัดเสริมเต้านมเฉพาะในเพศหญิงที่มีอายุเกิน 22 ปีขึ้นไปเท่านั้น

         คงพอเข้าใจแล้วนะครับว่าทำไมตั้งชื่อเรื่องว่า บอดี้โมดิฟาย แฟชั่นสุดเจ็บ..เจ็บ..เจ็บ..เจ็บ เจ็บแรกเป็นสแลงเพราะทำแล้วไปที่ไหนคนคงเหลียวหลังมองสมใจ เจ็บที่สองคือเวลาทำ ก็ลองนึกภาพแต่ละวิธียังกะแล่เนื้อเอาเกลือทายังไงยังงั้น เจ็บที่สามทำเสร็จก็ยังมีโอกาสเจ็บทางกายต่อ เช่นจากการติดเชื้อโรค เจ็บสุดท้ายก็คือที่ไปทำมานั่นน่ะเพราะความเจ็บป่วยทางจิตหรือเปล่า ต้องใคร่ครวญให้จงหนักนะครับ
 
นพ. ประวิตร พิศาลบุตร
ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารต่วย'ตูน