วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สวยแบบต้องเสี่ยงและสวยแบบเพียงพอ...เตือนวัยรุ่นคลั่งขาว ระวังอันตราย
หมอชาวบ้าน ฉบับ ๓๖๙
เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓
เรื่องเด่นจากปก
สวยแบบต้องเสี่ยงและสวยแบบเพียงพอ...เตือนวัยรุ่นคลั่งขาว ระวังอันตราย
นพ.ประวิตร พิศาลบุตร
แพทย์โรคผิวหนัง
ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร
________________________________________________________________________________
ปัจจุบันพบบ่อยว่าวัยรุ่นให้ความสำคัญกับการมีรูปร่างหน้าตาดี การมีผิวพรรณสดใส ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร
หากหนทางที่ได้มานั้นเป็นไปโดยธรรมชาติ เช่น จากการรับประทานอาหารให้ครบหมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับพบว่า วัยรุ่นบางส่วนหมกมุ่นอยู่กับการดูแลรูปร่างหน้าตาตนเอง ความอยากมีผิวขาวใส
ยอมทุ่มเททั้งเวลาและเงินทองกับสิ่งภายนอกเหล่านี้ จนบางคนให้เวลากับหน้าที่หลักคือการศึกษาน้อยมาก
ผิวขาวใส...ดีจริงหรือ ?
ที่จริงแล้วคนมีผิวขาวน่าจะเรียกว่าเป็นผู้มีโชคไม่ดีนัก เพราะผิวขาวสามารถกลั่นกรองอันตรายจากแสงแดดน้อยกว่าคนผิวดำ
ใต้ผิวหนังของเรามีเม็ดสีที่เรียกว่า "เมลานิน" กระจายตัวอยู่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวหนังจากรังสีในแสงแดดตามธรรมชาติ
และทำให้สีผิวแตกต่างกันไป คนผิวขาวนั้นที่จริงน่าจะกล่าวว่าเป็นคนอาภัพ เพราะมีเม็ดสีขนาดเล็ก
เวลาที่โดนแสงแดดจัดๆ ทำให้ผิวหนังไหม้แดดได้เร็ว ลองสังเกตดูคนต่างชาติที่มีผิวขาว พบว่าจะมีผิวตกกระ ผิวเหี่ยวแก่เร็วกว่า
และยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังสูงกว่าพวกเราคนไทยที่มีผิวเหลืองหรือผิวที่คล้ำกว่า
และนับวันโลกเราจะได้รับอันตรายจากแสงแดดมากขึ้น เพราะชั้นโอโซนถูกทำลายให้บางลงจนเกิดภาวะโลกร้อนไปทั่ว
เคยมีคนทำนายว่าหลายๆ พันปีต่อนี้ไป พื้นโลกจะได้รังสีมากขึ้นเรื่อยๆ คนผิวดำจะเป็นเพียงเผ่าพันธุ์สุดท้ายที่ยังเหลือชีวิตรอดอยู่ได้
แสงแดดมีผลเสียต่อผิวหนัง โดยผลเสียที่เกิดขึ้นทันที คือทำให้โรคผิวหนังมากกว่า ๔๐ ชนิดกำเริบ เช่น
ผิวไหม้แดด,ผิวคล้ำลง,โรคเอสแอลอี (SLE)ที่มีอาการปวดข้อและมีผื่นแดงรูปปีกผีเสื้อที่แก้ม,สิวบางชนิดกำเริบเมื่อโดนแดด,
เริม,ฝ้า-กระเข้มขึ้น,โรคผิวด่างแดด,โรคพอร์ไฟเรีย (porphyria)ที่มีอาการปวดท้อง ผิวไหม้แดดเป็นแผลและตุ่มน้ำ
เชื่อว่าแดร็กคิวล่าและแวมไพร์น่าจะเป็นโรคนี้
ส่วนผลเสียของแสงแดดที่สะสมระยะยาว ได้แก่ ผิวเหี่ยวแก่,เนื้องอกขั้นก่อนเป็นมะเร็ง และมะเร็งผิวหนัง
สมาคมโรคมะเร็งของอเมริการะบุว่า คนอเมริกัน(รวมทุกสีผิว)๑ ใน ๕ คนมีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนัง
แต่ถ้าดูเฉพาะคนผิวขาวโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังสูงถึง ๑ ใน ๓ คน
ส่วนคนไทยก็พบมะเร็งผิวหนังบ่อยขึ้น เนื่องจากมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้น,มีกิจกรรมกลางแดด,มีการตรวจและให้ความสำคัญกับมะเร็งผิวหนังมากขึ้น และยังมีการใช้ยาและเทคนิคทำให้ผิวขาวกันมากขึ้น โดยละเลยการเลี่ยงแสงแดดจัด
กระแสคลั่งสวย คลั่งผิวขาว...อันตรายต่อสุขภาพทั้งกายและใจ
ปัจจุบันมีกระแสวัยรุ่นไทยอยากมีผิวขาวใส มีการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคนิคต่างๆ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นอันตรายได้
จนสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาต้องออกมาเตือนอยู่เสมอ
ที่จริงแล้วค่านิยมอยากมีผิวขาวนั้นไม่เหมาะสมสำหรับคนไทยที่อยู่ในภูมิประเทศที่มีแสงแดดจัดทั้งปี
คนไทยเรานับว่าเป็นชาติพันธุ์ที่มีผิวสวย และเหมาะสมกับการดำรงชีวิตอยู่แล้ว
จึงพบเสมอว่าเวลาคนไทยอายุเกิน ๓๐ ปีจะเข้าบาร์ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในต่างประเทศ
มักจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้า เพราะใบหน้าดูเด็กกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของฝรั่ง
กระแสคลั่งอยากมีผิวขาวนั้นส่วนหนึ่งน่าจะเป็นจากค่านิยมที่จะต้องเป็นเจ้าคนนายคน
ต้องนั่งทำงานในห้องแอร์ และการตีความสำนวนไทย "คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ"ผิดพลาด
โดยเข้าใจว่าเน้นที่หน้าตา ทั้งที่ความหมายจริงนั้นเน้นจิตใจมากกว่า
ส่วนหนึ่งมาจากกระแสคลั่งดาราเกาหลี และอีกส่วนหนึ่งมาจากการโหมโฆษณาเครื่องสำอางทำให้ผิวขาวที่มีงบโฆษณาสูงมาก
บริษัทเครื่องสำอางจึงควรแสดงความรับผิดชอบ โดยการพิมพ์ผลเสียของแสงแดดไว้ที่กล่องบรรจุว่า
“ผลิตภัณฑ์ทำให้ผิวขาวอาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนัง และทำให้ผิวเหี่ยวแก่เร็ว”
เช่นเดียวกับที่ซองบุหรี่มีคำเตือนว่า “การสูบอาจทำให้เป็นมะเร็งปอด และการสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว”
วัยรุ่นที่หมกหมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องความสวยความหล่อ บางคนกังวลเรื่องผมบาง,ขนดก,รูขุมขนโต,ผิวไม่ขาว.....
เหล่านี้ถ้ามากเกินไปอาจเข้าข่ายความผิดปกติทางจิตใจที่เรียกว่า body dysmorphic disorder
(BDD หรือ”บีดีดี”)
นอกจากนั้นการตกแต่งร่างกายแบบถาวร เช่น การสัก,การเจาะ,การใส่ห่วง,การฝังหมุด,การผ่าลิ้น ๒ แฉก
ก็อาจเข้าข่ายความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้เช่นกัน
บางคนเสพติดศัลยกรรมจนใบหน้าเสียโฉม
ในรายที่สงสัยความเจ็บป่วยทางจิตชนิดนี้ ผู้ปกครองควรพาวัยรุ่นไปปรึกษาจิตแพทย์
เพราะที่น่าเป็นห่วงคือพบอาการซึมเศร้ารุนแรงในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้บ่อย และมีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายสู'
โรค”บีดีดี”นี้ถ้าพบในผู้ใหญ่อาจแสดงอาการออกมาในรูปความกลัวความแก่อย่างสุดๆ
ที่ภาษาหมอเรียกว่ากลุ่มอาการโดเรียน เกรย์(Dorian Gray syndrome)
โรคนี้ตั้งชื่อตามชื่อของตัวละครในนวนิยาย “ภาพวาดโดเรียน เกรย์” (The Picture of Dorian Gray)
แต่งโดย Oscar Wilde ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มรูปงามนามเพราะว่าโดเรียน เกรย์ ซึ่งหลงใหลกับรูปลักษณ์ของตนเอง
จนไม่อยากสูญเสียมันไป และยินดีแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคงความอมตะของตนเองไว้
โรค “บีดีดี” พบบ่อยขึ้นทั้งในไทยและทั่วโลก น่าจะมาจากค่านิยมที่เปลี่ยนมาเน้นความงามความขาว
เชื่อว่าดาราและหนุ่มสาวเกาหลีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งอาจเป็นโรค”บีดีดี”ร่วมด้วย
แม้ราชาเพลงป๊อปที่ล่วงลับเมื่อปีที่ผ่านมาก็น่าจะเข้าข่ายเป็นโรค”บีดีดี”
ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเชื่อว่าไมเคิล แจ็คสันเป็นโรค ”บีดีดี” ชนิด “โดเรียน เกรย์” ชัดเจน
และถึงจะเป็นโรคนี้จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องที่จะมาทำลายอัจฉริยภาพทางดนตรีและการแสดงของเขา
เชื่อกันว่าคนอเมริกันถึง ๙ ล้านคนป่วยเป็นโรค”บีดีดี”เช่นเดียวกับราชาเพลงป๊อปผู้นี้
ผู้ป่วยโรคนี้จะไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง
พบว่าร้อยละ ๗๕ ของผู้ป่วย”บีดีดี” จะไปพบแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง หรือแพทย์ผิวหนัง
เพื่อแก้ไขให้รูปลักษณ์ของตัวเองเป็นดังฝัน ปัจจุบันพบวัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อยที่น่าเข้าข่ายเป็นโรค”บีดีดี”
และยังพบผู้ใหญ่ของไทยหลายรายที่น่าจะเป็นโรค”โดเรียน เกรย์”
กลูตาไทโอนที่ใช้ทำให้ผิวขาว...เป็นสารอันตรายหรือไม่ ?
กลูตาไทโอน (glutathione)เป็น tripeptides ของกรดอะมิโน ๓ ตัว คือ ซิสทีน (cysteine),
กรดกลูตามิค (glutamic acid)และไกลซีน(glycine)
ปกติร่างกายสามารถผลิตได้เองตามธรรมชาติ และยังได้จากอาหารหลายอย่าง เช่น โปรตีน,นม,ไข่,ผลอะโวคาโด,
สตรอเบอร์รี,มะเขือเทศ,ผักบรอคโคลี,ส้มเกรปฟรุต และผักโขม
หน้าที่หลักของกลูตาไทโอนมีอยู่ ๓ ประการคือ ต้านอนุมูลอิสระ,กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และขจัดสารพิษ
กลูตาไทโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงช่วยในแง่ชะลอความเสื่อมของร่างกาย
เพราะอนุมูลอิสระจะวิ่งสะเปะสะปะไปชนเซลล์ต่างๆ ทำให้เกิดการบาดเจ็บและเสื่อมสภาพ
มีผลในแง่เสริมภูมิต้านทาน และยังช่วยให้ตับขจัดสารพิษออกจากร่างกาย
กำลังมีงานวิจัยที่จะนำสารตัวนี้มารักษาโรคมะเร็ง,โรคหัวใจ,ข้ออักเสบ,โรคพาร์กินสัน(ที่มีอาการมือสั่น ควบคุมการทรงตัวลำบาก,
โรคตับ,โรคไต,โรคเอดส์,ภาวะเป็นหมันในเพศชาย และภาวะหูตึงจากเสียงดัง
ยังไม่แนะนำให้สตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรรับสารตัวนี้โดยไม่ปรึกษาแพทย์
สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลว่า ปัญหาของกลูตาไทโอนที่ควรระวังคือ
การฉีดยาตัวนี้เข้าเส้นเลือดดำมีโอกาสแพ้ได้ มีรายงานในต่างประเทศว่าผู้ที่ได้รับการฉีดกลูตาไทโอนขนาดสูงที่ใช้กันอยู่มีอาการช็อค,
ความดันต่ำ,หายใจไม่ออก จนถึงขั้นเสียชีวิต และการฉีดนั้นมักให้วิตามินซีในขนาดสูงร่วมด้วย
ซึ่งการฉีดวิตามินซี ในขนาดที่สูงและเร็วเกินไปอาจทำให้เกิดอาการมึนศีรษะคล้ายจะเป็นลมได้
พบว่าการที่ได้รับสารกลูตาไทโอนเป็นเวลานานๆ ทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลงเสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต
จึงจัดว่าเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางตา และการใช้สารกลูตาไทโอนในผู้ป่วยมะเร็งทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาทางเคมีลดลง
บัญญัติ ๑๐ ประการเพื่อผิวสวยอย่างพอเพียง
ข้อที่ ๑ ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน เวลาล้างหน้าให้ล้างเบาๆ แล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูสะอาด อย่าใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ไม่ควรใช้แปรง ฟองน้ำ สบู่ยา หรือสบู่ที่ผสมเม็ดขัดถูใบหน้า เพราะทำให้ใบหน้าระคายเคือง กระตุ้นให้สิวกำเริบ
ข้อที่ ๒ หากเป็นสิวน้อย อาจทายาเองได้ ผู้มีปัญหาสิวเพียงเล็กน้อย เช่น สิวหัวดำ,หัวขาว หรือสิวอักเสบเพียง ๑ – ๒ เม็ด อาจหาซื้อยามาทาเองได้ แต่ต้องอ่านฉลากยาให้เข้าใจวิธีใช้โดยละเอียดเสียก่อน
ถ้าใช้ครีมทารักษาสิวแล้วเกิดอาการผิวแห้งหรือระคายเคือง ควรปรึกษาแพทย์
ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้มักผสมสตีรอยด์
ซึ่งอาจทำให้สิวยุบเร็วจริง แต่มีข้อแทรกซ้อนตามมามากมาย
กรณีที่เป็นสิวอักเสบมากจัดเป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์
ยารักษาสิวบางตัวทั้งในรูปยากินยาทาทำให้ทารกในครรภ์พิการได้
ข้อที่ ๓ พิจารณาให้ดีก่อนใช้เครื่องสำอาง ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีผลต่อการทำงานของผิวหนัง
ต้องไม่มีสารสตีรอยด์เจือปน ควรเลือกใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นที่ไม่มีส่วนประกอบที่เป็นสารเคมีกระตุ้นให้เกิดสิว
เครื่องสำอางที่มีราคาแพงที่สุดอาจไม่ใช่เครื่องสำอางที่ดีที่สุด
ข้อที่ ๔ ไม่แนะนำให้บีบแกะสิวออกด้วยตัวเอง เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบลุกลามและเกิดแผลเป็นได้มาก แพทย์อาจกดสิวอุดตันหัวดำออกให้ในกรณีที่จำเป็น
ส่วนสิวที่อักเสบหรือสิวหัวช้างนั้น การฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปในสิวอาจทำให้สิวยุบลงรวดเร็ว
เหมาะสำหรับกรณีเร่งด่วน เช่น จะเข้าพิธีแต่งงานหรือจะรับปริญญาในอีก ๒-๓ วัน แต่วิธีนี้อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้
ข้อที่ ๕ หลีกไกลรอยย่นโดยขจัดสาเหตุต้นตอ รอยเหี่ยวย่นบนผิวหน้าแบ่งเป็น ๓ ชนิดหลัก คือ รอยเหี่ยวจากอารมณ์,รอยเหี่ยวจากแสงแดด และรอยเหี่ยวแห้ง
ผู้ที่มีแต่ความเครียดชอบทำหน้านิ่วคิ้วขมวดหรือเลิกหน้าผาก จะเกิดร่องย่นได้ตามหัวคิ้วและหน้าผาก
ครีมบำรุงผิวที่อ้างว่าลบรอยเหี่ยวต่างๆ จึงไม่เป็นจริง เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ออกฤทธิ์เพียงแค่ผิวชั้นนอกสุดคือชั้นขี้ไคล
แต่ส่วนที่เสียไปคือส่วนชั้นหนังแท้
การป้องกันรอยย่น ๓ แบบนี้คือ การมีอารมณ์แจ่มใส อย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพื่อลดรอยเหี่ยวย่นจากอารมณ์,
หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดเพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด และการใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาในกรณีของรอยเหี่ยวแห้ง
ข้อที่ ๖ รักษาฝ้าและกระโดยเลี่ยงแดด ยังไม่มีวิธีใดที่รักษาฝ้าและกระให้หายขาดและไม่เกิดขึ้นใหม่ได้อีก
จึงไม่ควรเสียเงินและเวลาให้กับการรักษาฝ้าและกระจนเกินไป ในต่างประเทศถือว่ากระเป็นเสน่ห์ของใบหน้า
หนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันและรักษาฝ้าและกระคือ หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วง ๐๘.๐๐-๑๗.๐๐ น.
เพราะรังสีในแสงแดดนอกจากทำให้ฝ้าและกระเข้มขึ้น ยังทำให้ผิวเหี่ยวแก่ เกิดมะเร็งผิวหนังได้
ข้อที่ ๗ พักผ่อนให้เพียงพอ การทำงานหนักโดยไม่พักผ่อนเลย หรือเอาแต่เล่นโดยไม่ทำงานให้เป็นแก่นสาร
ต่างมีผลเสียต่อสุขภาพ การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายอ่อนแอก่อผลเสียต่อผิวได้
การพักผ่อนให้เพียงพอคือ นอนหลับวันละไม่ต่ำกว่า ๖ – ๘ ชั่วโมง,รับประทานอาหารให้ครบหมู่ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
นอกจากนั้นต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ไม่มีอาหารเสริม,วิตามิน และกรรมวิธีมหัศจรรย์ตัวใดที่ทำให้ผิวสวยได้ หากไม่ปฏิบัติตามกติกาอนามัยพื้นฐานเหล่านี้
ข้อที่ ๘ งดสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำให้แก่เร็ว เพราะนิโคตินในบุหรี่ทำให้การไหลเวียนของเลือดช้าลง
ทำให้ผิวบาง,ผิวหย่อนยานและผิวแห้ง ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ง่ายขึ้น เวลาเกิดแผล แผลจะหายช้า
การสูบบุหรี่ทำอันตรายต่อผิวหนังได้รุนแรงพอๆ กับการโดนแสงแดดเผา
การเที่ยวกลางคืนบ่อยๆ อาจทำให้ผิวเสียได้ เนื่องจากสถานบันเทิงมักอบอวลไปด้วยควันบุหรี่
สารพิษในบุหรี่ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย สังเกตได้ว่ารอบๆ หางตาของผู้ที่สูบบุหรี่หรือของผู้ที่อยู่ในแวดวงดงควันบุหรี่
มักปรากฏริ้วรอยที่เรียกว่า "รอยตีนกา"ตั้งแต่อายุยังน้อย
รอบๆ มุมปากก็อาจเกิดรอยย่นเป็นร่องลึกสั้นๆ ตั้งฉากกับริมฝีปาก
ผิวพรรณก็จะเป็นสีเหลืองหม่นหรือหมองคล้ำไม่สดใส
ข้อที่ ๙ เลิกดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้เป็นโรคตับ,
โรคกล้ามเนื้อหัวใจ เส้นเลือดหัวใจอุดตัน,หัวใจเต้นผิดปกติ,เส้นเลือดในสมองแตก,ทารกในครรภ์พิการ,มะเร็งเต้านม,
กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอาจเกิดอุบัติเหตุเมื่อขับรถ
นอกจากผลเสียต่อสุขภาพกายทั่วไปแล้ว การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพผิวพรรณทำให้เปลือกตาบวม
ผู้ที่ดื่มจัดร่างกายจะขาดวิตามินบี ซึ่งผิวหนังต้องอาศัยวิตามินบีจึงจะมีสุขภาพผิวที่ดี
การขาดวิตามินบีทำให้ผิวพรรณซีด,เหี่ยว,แห้ง,หย่อนยาน
นอกจากนั้นโรคสะเก็ดเงินซึ่งมักมีอาการเป็นปื้นนูนแดงมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม
พบบ่อยที่ข้อศอก,หัวเข่า,ลำตัว และแนวไรผม
จะมีอาการกำเริบรุนแรงเมื่อดื่มแอลกอฮอล์
อีกทั้งผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จนเมามักไม่ได้ทำความสะอาดใบหน้าก่อนนอน
ทำให้เกิดผื่นแพ้เครื่องสำอาง และสิวได้ง่าย
ข้อที่ ๑๐ อยากมีผิวสวยต้องไม่เครียด อารมณ์กับสุขภาพถือเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น
ความเครียดทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นลมพิษ,ผมร่วง,เริมกำเริบ,เหงื่อออกมากจนมีกลิ่นตัว หรือสิวกำเริบขึ้นได้
บางรายเวลาเครียดมากจะแกะสิวเล่น ทำให้ใบหน้าเกิดแผลเป็น และยิ่งเครียดเพิ่มขึ้นอีก
วิธีหลีกเลี่ยงความเครียดมีหลายวิธี เช่น ออกกำลังกาย,ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา,การนั่งสมาธิ,การเล่นโยคะ,การนวด
และการมีอารมณ์ขันมองโลกในแง่ดี คิดดี ทำดี เมื่อความเครียดลดลงแล้ว สุขภาพผิวจะดีตามไปด้วยอย่างแน่นอน